Welcome, Guest |
You have to register before you can post on our site.
|
Forum Statistics |
» Members: 245
» Latest member: 006654
» Forum threads: 560
» Forum posts: 775
Full Statistics
|
Online Users |
There are currently 2 online users. » 0 Member(s) | 2 Guest(s)
|
|
|
ถ้าอยากมี Mindset ดี ๆ เราควรเรียนรู้จากอะไร ? |
Posted by: saowalak_app - 02-03-2023, 03:25 AM - Forum: Soft Skill
- No Replies
|
 |
7 ประสบการณ์ชีวิต ที่ควรเรียนรู้ไว้ ถ้าอยากมี Mindset เริ่ด ๆ
วันนี้จะมาเล่าให้ว่า ถ้าอยากมี Mindset ดี ๆ เราควรเรียนรู้จากอะไร ?
เวลาเราอ่านบทสัมภาษณ์ ดูคลิปของดาราหรือนักธุรกิจต่าง ๆ ที่มาแชร์ความรู้และทัศนคติที่ดี ทีไร พวกเราเคยสงสยกันไหมว่า พวกเค้าเหล่านั้นผ่านประสบการณ์ในชีวิตอะไรมาบ้าง ถึงตกตะกอนกลายเป็น Mindset ดี ๆ จนมาเล่าหรือบอกต่อให้พวกเราได้ฟังกัน ซึ่งเราเองก็สามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์ของเค้าและนำมาปรับใช้ที่เป็นในแบบของตัวเองให้ดีขึ้นได้ในทุก ๆ วัน เริ่มที่ข้อแรกกันเลยค่ะ
1. ลงมือทำสิ่งที่ต้องการ โดยไม่คาดหวังว่าจะต้อง Perfect คนมากมายที่มีไอเดียดีๆ เด็ดๆ ที่พร้อมจะเอาไปทดลองใช้แต่ไม่กล้าลองทำในชีวิตจริง เพราะติดกับดักความกลัวบ้าง กลัวทำออกมาแล้วไม่ดี ถ้าทำได้ไม่ดี 100% ก็ไม่ทำดีกว่า ทำให้เสียโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย เพราะบางครั้งโอกาสมันมาเพียงครั้งเดียว เพราะฉนั้นไม่ต้องรอให้ทุกอย่าง 100% ถึงค่อยทำ ลองทำล่วงหน้าไปก่อนเลย ถ้าพลาดก็แค่เริ่มใหม่หรือไปลองวิธีอื่น เพราะอย่างน้อยเราก็ได้บทเรียนบางอย่างจากมัน
2. หาแรงผลักดัน ให้ก้าวเดินไปข้างหน้า หากชีวิตตอนนี้ค่อนข้างนิ่งๆ เรียบๆ ไปซะทุกอย่าง ใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่มีอะไรมากระตุ้นตัวเอง หากเป็นแบบนี้นาน ๆ จะทำให้เกิดอาการเฉื่อย ซึ่งจะส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต ดังนั้นพยายามหาแรงกระตุ้นทำให้ชีวิตไปข้างหน้าได้ตลอดเวลาโดยไม่สะดุด เช่น พบเจอผู้คนใหม่ ๆ หรือการหารายได้เสริม เพราะเมื่อเรามีเป้าหมายใหม่ เราจะรับรู้ว่าโลกนี้กว้างกว่าที่เราคิดและมีโอกาสดีๆ ให้เราเสมอ
3. หาความสุขจากการได้แก้ปัญหา หลายคนชีวิตอีรุงตุงนังไปดัวยปัญหา แต่ไม่สนใจจะแก้ปัญหาเพราะกลัวว่า ถ้าแก้ผิดชีวิตจะแย่กว่าเดิม โดยที่ลืมคิดไปว่า หากปล่อยเอาไว้เฉย ๆ ชีวิตก็ไม่ดีขึ้นเหมือนกันแทนที่จะทนทุกข์ทรมานกับมัน ลองจับมาตีแผ่สาเหตุและหาวิธีแก้ปัญหาอย่างจริงจังดู เพราะทางแก้มากมายที่ง่ายเหมือนเส้นผมบังภูเขา เพียงแต่ทำเป็นมองไม่เห็นหรือไม่กล้าที่จะมองเห็นเท่านั้นเอง
4. เปลี่ยนระเบียบวินัยดีๆ ให้กลายเป็นพฤติกรรมถาวร ทุกคนล้วนเติบโตมาด้วยพื้นฐานครอบครัวที่แตกต่างกัน ซึ่งบางอย่างก็ไม่เข้ากับยุคสมัยแล้ว แต่หลายๆ เรื่องก็สมควรปรับมาเป็นพฤติกรรมถาวรในชีวิตประจำวันเรา เพื่อเป็นพื้นฐานในการพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นค่ะ เช่น การออกกำลังกายทุกเช้า การเก็บออมเงินให้ได้อย่างน้อย 30% ของเงินเดือนเพื่อที่จะได้ไม่ไปรบกวนพ่อแม่เพิ่ม
5. อยู่กับปัจจุบันเป็นหลัก ไม่จมกับอดีต ไม่วาดฝันกับอนาคต ปัจจุบันในยุคสังคมก้มหน้าที่คนส่วนใหญ่ให้มือถือเป็นปัจจัยที่ 5 เวลาที่คุยกับเพื่อนหรือใครก็ตาม ก็เอาแต่จ้องหน้าจอมือถือเหมือนหลุดไปอีกโลก แทนที่จะให้ความสนใจกับคนตรงหน้า คนประเภทนี้ถือว่าไม่อยู่กับปัจจุบันเช่นกันค่ะ ซึ่งถ้าหากเป็นแบบนี้จะทำให้สูญเสียความสัมพันธ์กับคนจริงๆ ไปทีละคน สองคน โดยที่เราไม่รู้ตัวค่ะ
6. ออกไปข้างนอกเพื่อหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ คนที่มีทัศนคติดีๆ ที่ประสบความสำเร็จจะไม่ลังเลในการเจอคนใหม่ ๆ สถานที่ใหม่ ๆ และการออกกำลังกายให้ตัวเองได้สดชื่นทุกวัน หรือแม้กระทั่งการออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ คาเฟ่ใกล้บ้าน เพราะการได้สูดอากาศที่ปลอดโปร่ง ได้คุยหรือแลกเปลี่ยนความคิดกับใครสักคน อาจจะทำให้เราได้ไอเดียใหม่ ๆ และนำมาปรับใช้กับการทำงานของเราได้ค่ะ
7. เมื่อเกิดอุปสรรค เรียนรู้จากความล้มเหลวนั้น แล้วพัฒนาตัวเองให้เก่งกว่าเดิม ซึ่งก็แน่นอนว่าชีวิตคนเราไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แม้แต่คนสวย ฐานะดี เก่ง ฉลาด ก็มีจุดตกต่ำในชีวิตได้ทั้งนั้น ทุกคนย่อมมีวันที่เดินสะดุด หากพบเจอปัญหาอยากให้ลองเปลี่ยนความคิด ว่าชีวิตนี้มีทางออกเสมอ ไม่มีอะไรเป็นจุดจบทั้งนั้น ถ้าเรายังเลือกจะไปต่อ ความสามารถของทุกคนพัฒนาได้ ต่อยอดได้ค่ะ
ทุกคนสามารถปรับแนวความคิดให้มีความสุข แสวงหามุมมองดีๆ จากชีวิตได้เสมอ หากยังไม่ตายเรามีโอกาสทำสิ่งใหม่ได้เสมอ สุดท้ายแล้วถ้าอยากมีชีวิตที่ดี ต้องเรียนรู้ที่จะลุกมาปรับ Mindset เพื่อสู้ต่อ หากไม่หยุดพยายาม การจัดระเบียบชีวิตตัวเองให้มองโลกในแง่บวก เปิดกว้างกับทุกโอกาส เชื่อว่าจะต้องมีวันที่ประสบความสำเร็จ แน่นนอนค่ะ
|
|
|
7 นิสัย สู่ความสำเร็จ |
Posted by: saowalak_app - 02-03-2023, 02:02 AM - Forum: Soft Skill
- No Replies
|
 |
7 นิสัย สู่ความสำเร็จ
1. คิดเชิงรุก
หลักของการคิดเชิงรุก คือเราควรตื่นตัว หรือเตรียมแผนรับมือกับปัญหาที่เกิด หรือกำลังจะเกิดขึ้น และเมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา การกล่าวโทษคนอื่นเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ที่จะทำมัน เพราะแม้ว่าเราจะกล่าวโทษใครไปมากแค่ไหน สุดท้ายเราก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงปัญหาที่เกิดขึ้นได้อยู่ดี เปรียบดั่งฝนที่ตกลง ถึงแม้เราจะกล่าวโทษฟ้า โทษฝน หรือโทษพยากรณ์อากาศที่ให้ข้อมูลไม่ตรง ก็ไม่ทำให้ฝนที่ตกนั้นหยุดลงได้ ดังนั้นสิ่งที่เราควรจะปฏิบัติ คือ การหาร่มสักคันมาพกไว้เผื่อใช้ยามฝนตก เช่นเดียวกับการเตรียมพร้อมรับมือปัญหาที่เกิดขึ้น หรือกำลังจะเกิดขึ้นด้วยตนเองก่อนเสมอ
2. ชัดเจนกับเป้าหมาย
เพื่อน ๆ ลองคิดกับตัวเองเล่น ๆ นะครับว่าอยากให้คนอื่น ๆ จดจำเราแบบไหน นั้นแหละครับ คือเป้าหมายของเรา โดยก่อนที่เราจะเริ่มต้นทำอะไรก็ตาม สิ่งแรกที่เราควรจะทำทุก ๆ ครั้ง คือต้องคิดถึงเป้าหมาย หรือผลลัพธ์ก่อนเสมอ เพราะผลลัพธ์จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้เราได้ดีที่สุด ดั่งสำนวนที่กล่าวไว้ว่า "Begin with the end in mind" หรือ "เริ่มต้นด้วยการคิดถึงจุดหมาย" ครับ
3. จัดลำดับความสำคัญ
เมื่อเพื่อน ๆ มีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว การจัดลำดับความสำคัญกับสิ่งต่าง ๆ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นเดียวกัน การจัดสรรจะทำให้เราสามารถแบ่งเวลาให้กับสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง ดังคำที่ถูกกล่าวไว้ว่า "คนเก่งไม่ได้ทำได้ทุกอย่าง แต่คือคนที่สามารถเรียงลำดับสิ่งที่สำคัญได้อย่างถูกต้อง"
4. คิดแบบ WIN - WIN
ในทุก ๆ ชัยชนะ ไม่จำเป็นต้องมีผู้แพ้เสมอไป การฝึกคิด และปฏิบัติให้เรามีความสุขร่วมกับคนอื่น ๆ คือหัวใจของการคิดแบบ WIN - WIN การคิดแบบนี้นอกจากจะทำให้เราได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ยังสามารถทำให้ความสัมพันธ์กับผู้อื่นไปในทางบวกด้วยครับ ผมจึงอยากให้เพื่อน ๆ ลองฝึกคิดแบบนี้เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันยอดเยี่ยมกับคนรอบข้าง หรือแม้กระทั่งคู่แข่งครับ
5. หาทางทำความเข้าใจก่อน รู้เขารู้เรา
แต่ละคนมีมุมมองของชีวิตไม่เหมือนกัน แตกต่างกันออกไปตามสภาพแวดล้อม การเลี้ยงดู และนิสัย ดังนั้นในการที่เราจะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ควรพยายามเปิดใจ และเข้าใจผู้อื่นก่อนเสมอ หลังจากเราสามารถมองในมุมมองของเขาเหล่านั้นได้แล้ว แนวทางในการปฏิบัติ หรือพูดคุยกับคน ๆ นั้นก็จะลื่นไหล และเป็นไปในทางบวกครับ ดั่งกลยุทธของซุนวู ที่กล่าวไว้ว่า 'รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง'
6. ประสานพลัง
ในการทำงาน หรืออะไรก็ตาม บางทีเราอาจจะคิดว่าเราสามารถทำคนเดียวให้สำเร็จได้ แต่ผมอยากให้เพื่อน ๆ ลองเปิดใจทำงานร่วมกับคนอื่นดู การทำงานกับผู้อื่นนั้นอาจจะทำให้เราสามารถทำอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่สามารถทำคนเดียวได้เลยครับ โดยผมอยากให้ผู้อ่านลองจินตนาการภาพต้นแอปเปิ้ลสูงต้นหนึ่ง ถ้าต่างคนต่างเด็ดของตนเอง เราก็จะได้แค่ลูกที่เราเอื้อมถึงเท่านั้นใช่ไหมครับ กลับกันถ้าเราช่วยกันต่อตัวกันขึ้นไปเก็บ เราจะสามารถเด็ดลูกแอปเปิ้ลที่เราไม่สามารถเด็ดได้ตัวคนเดียว เช่นเดียวกับงานอื่น ๆ ครับผม
7. เตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ
ข้อสุดท้าย คือ การพัฒนาตนเอง ทั้งในด้านความรู้ และอุปนิสัยอยู่เสมอ เมื่อโอกาสเดินผ่านมา เราจะต้องเป็นคนที่พร้อม และคว้ามันไว้ได้ทันก่อนที่จะบินหนีเราไป โดยมีคำพูด ๆ หนึ่งของประธานาธิบดีสหรัฐ อับราฮัม ลินคอล์น ที่กล่าวไว้ว่า "ถ้าเขามีเวลา 6 ชั่วโมงในการตัดไม้ เขาจะใช้เวลา 4 ชั่วโมงในการรับคมขวานให้คมที่สุด" เพราะ การรับขวานให้คมนั้นทำให้คนตัดไม่ต้องเสียเวลาในการตัดต้นไม้ เปรียบดั่งคนที่มีความรู้เตรียมพร้อมอยู่เสมอ เมื่อโอกาสเข้ามาเราจะใช้เวลาในการทำให้สำเร็จน้อยกว่าคนอื่น ๆ
|
|
|
ชีวิตติดปีก ด้วยศิลปะแห่งการ "ช่างแม่ง" |
Posted by: saowalak_app - 02-03-2023, 01:50 AM - Forum: Soft Skill
- No Replies
|
 |
ทุกคนเคยสังเกต กันไหมคะว่า หลายต่อหลายครั้งที่เราต้องเสียใจเพราะบางสิ่งบางอย่างไม่เป็นไปตามที่ตัวเองคาดหวัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ความรัก หรือความสำเร็จอะไรต่างๆ นานา จนทำให้บางทีก็รู้สึกท้อแท้และเหนื่อยกับชีวิต ทุกอย่างมันดูมืดไปหมด หาทางออกไม่เจอ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วหากลองคิดดูดีๆ เราอาจพบว่า เฮ้ย!! มันก็ไม่ได้สำคัญกับชีวิตเราขนาดนั้นมั้ยการที่เราแคร์คนอื่นหรือสิ่งรอบๆ ตัวมากเกินไป มันก็ทำให้เราต้องเสียสละบางอย่างที่สำคัญในชีวิตไปด้วย โดยเฉพาะ 'เวลา' และการที่เราเอาแต่โฟกัสกับทุกๆ สิ่งมันก็เหมือนกับ 'ไม่ได้โฟกัสอะไรเลย'
แล้วจะทำยังไงให้เราเลิกเสียเวลากับเรื่องไร้สาระแล้วโฟกัสแต่สิ่งสำคัญๆ ? มันก็ต้องใช้ศิลปะ ใช่แล้วค่ะ
ศิลปะแห่งการช่างแม่ง…ที่จะช่วยให้เราใช้ชีวิตได้แฮปปี้กว่าเดิม และศิลปะที่ว่ามีอะไรบ้าง ไปดูกันค่ะ
1. เป็นเรื่องเหนือการควบคุม อะไรที่เราควบคุมไม่ได้ก็ต้อง ปล่อยวาง การที่เราเอาแต่คิดซ้ำไปวนมา มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นถึงจะควบคุมไม่ได้แต่เราคาดการณ์ได้นะ ดังนั้น ทำหน้าที่ของเราในปัจจุบันให้ดีที่สุด
2. แคร์เฉพาะสิ่งที่สำคัญและเป็นปัจจุบัน ซึ่งแน่นอนว่า 'เรื่องสำคัญ' ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เราไม่จำเป็นต้องแคร์ในสิ่งเดียวกับที่คนส่วนใหญ่ให้ค่า เราให้คุณค่ากับสิ่งไหน ให้ความสำคัญกับอะไรก็โฟกัสที่เรื่องนั้น ทำปัจจุบันให้ดี อย่ามัวจมปลักและเสียใจกับอดีต หรือกังวลกับอนาคตมากเกินไป เพราะถ้าเราทำปัจจุบันได้ดี อนาคตย่อมต้องดีขึ้นค่ะ
3. รู้จักการปฏิเสธและยอมรับการถูกปฎิเสธ ก็ไม่ได้บอกให้เป็นคนแล้งน้ำใจเนอะ สิ่งไหนที่เราช่วยได้เราก็ช่วย แต่ถ้ามันมากเกินไป เราเองจะเป็นฝ่ายที่ลำบาก มันก็จะเหมือนกับ 'เอ็นดูเขาเอ็นเราขาด' ที่สำคัญเราต้องฝึก #ยอมรับการถูกปฏิเสธ เช่นกัน อย่าลืมว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่จะสมหวังไปหมดซะทุกอย่าง การถูกปฏิเสธบ้างมันก็เป็นธรรมดาของชีวิต ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ดี แต่สิ่งนั้นอาจไม่เหมาะสมกับเราก็ได้ ค่อยๆ ฝึกและเรียนรู้กับมันไป ซึ่งสิ่งนี้นี่แหล ะที่จะทำให้เราเติบโตขึ้น
4. เลิกกังวลสายตาคนอื่น มนุษย์ทุกคนล้วนสนใจชีวิตของตัวเองเป็นหลักอยู่แล้ว คนอื่นๆ ที่ผ่านไปมาก็แค่สิ่งที่
น่าสนใจ คั่นเวลาก็เท่านั้น ต่อให้อีกฝ่ายจะขี้นินทาหรือช่างเม้าท์แค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วทุกคนล้วนสนใจเรื่องของตัวเองก่อนทั้งนั้นแหละ เราไม่ได้ชอบคนทั้งโลก ฉะนั้นคนทั้งโลกไม่ต้องมาชอบเราก็ได้...เป็นตัวของตัวเองที่ไม่เดือดร้อนหรือทำร้ายใคร เพราะในโลกนี้ไม่มีอะไรเฟอร์เฟ็ค 100% หรอก ถูกต้องไหมคะ อย่างที่บอกอ่ะค่ะว่า ไม่มีใครจะทำร้ายเราได้มากเท่ากับตัวเราเองอีกแล้ว 'ความสุขของเรา' เราต้องปกป้องมันนะ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ ค่านิยม กรอบแนวคิดหรืออะไรก็ตามแต่ ที่มันมาบั่นทอนและทำร้ายเรา ก็....ช่างแม่งกับมันซะ
อย่าลืมนะคะ เลือกโฟกัสแต่เรื่องที่สำคัญ อย่าคาดหวังกับสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุม
|
|
|
เมาท์ ไม่ขยับ ซันไลต์ ช่วยได้ |
Posted by: Deng_95 - 01-03-2023, 05:16 AM - Forum: PC
- No Replies
|
 |
อาการ เมาท์ ไม่ขยับ แต่ชุด Scroll ใช้งานได้ปกติ
การตรวจ หาสาเหต่
1. ทำการวัดสาย Mouse , ชุดบอร์ด Mouse ปกติ
2.ได้ทำการลองนำบอร์ด Mouse ตัวที่มีปัญหา ไปลองใส่ที่ Mouse อื่น Mouse สามารถใช้งานได้ปกติ
3.ได้ทำการลองนำบอร์ด Mouse ตัวที่ปกติ ไปลองใส่ที่ Mouse ที่มีปัญหา เกิด อาการ Mouse ไม่ขยับ
4.ได้ตรวจพบว่าชุดแผ่นพลาสติกสะท้อนแสงใต้ Mouse มีลักษณะผิดปกติ สีจะออกเป็นสีเหลืองๆ บางจุดเป็นเหมือนคราบ
รายละเอียดและแนวทางการตรวจเช็ค และภาพประกอบ ตาม Link ด้านล่างนี้ครับ
https://drive.google.com/drive/folders/1cYEz-G0DC89pDoeWfZc9evYcppDGgGo4
|
|
|
Growth mindset for Teamwork |
Posted by: saowalak_app - 28-02-2023, 08:53 AM - Forum: Soft Skill
- No Replies
|
 |
Growth mindset for Teamwork
สร้าง Growth mindset ให้ทีมเวิร์ค เทรนด์ใหม่ของคนวัยทำงาน
ในทุกวันนี้ ไม่ว่าอะไรๆ ก็ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนทำให้ทุกคนต้องปรับตัวให้ทัน นิยามคนเก่งของคนในยุคนี้จึงเปลี่ยนไป เพียงแค่รู้ลึกอย่างเดียวไม่พออีกแล้ว แต่ต้องรู้กว้างและพร้อมปรับตัวอยู่เสมอด้วย Growth Mindset ซึ่งเป็นทักษะจำเป็นสำหรับการพัฒนาตัวเอง และเมื่อต้องทำงานเป็นทีม Growth mindset ก็ยิ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องปลูกฝังให้คนในทีม หรือลูกน้องของคุณมีเพื่อเป็นอาวุธประจำตัว ที่จะใช้ต่อยอดพัฒนาความสำเร็จสู่องค์กรในระยะยาว เรามาดูเทคนิคสร้างวัฒนธรรม Growth Mindset ให้ทีมกันค่ะ
1. Lead from the top: เริ่มต้นที่ข้างบนสู่คนข้างล่าง
การจะปรับเปลี่ยนและปลูกฝัง Growth Mindset ให้กับองค์กรควรเริ่มต้นด้วยการมีผู้นำที่เปิดกว้าง ช่วยชี้นำและสนับสนุนให้ทุกคนในองค์กรมี Growth Mindset ไปพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำงาน การพัฒนาหรือปรับเปลี่ยนโครงสร้างบุคคล แม้กระทั่งแผนการตลาดรูปแบบใหม่ ดังนั้น ผู้นำจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะพาทีมไปสู่การมีแนวคิดแบบพัฒนาได้
2. Hack Mindset: ปลูกฝังแนวคิด Growth Mindset ให้เติบโตไปด้วยกัน
เมื่อมีผู้นำที่มี Growth Mindset แล้ว ก็ต้องสร้างและปลูกฝังแนวความคิดแบบเติบโตให้กับพนักงานด้วย โดยการปรับกระบวนการทำงาน วิธีคิด สภาพแวดล้อม เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานมีการพัฒนาความคิดและทักษะมากขึ้น รวมไปถึงการทำกิจกรรมใหม่ๆ ให้พนักงานได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ หรือแม้แต่ปรับปรุงวิธีการทำงานเดิมๆ ที่เป็นอยู่ให้ดีกว่าเดิม โดยไม่ต้องกังวลกับผลลัพธ์และไม่มีการกล่าวโทษกันเมื่อผิดพลาด หากทำให้สภาพแวดล้อมของทีมเป็นเช่นนี้ แนวคิดแบบ Growth Mindset ก็จะค่อยๆ เกิดขึ้นกับทุกคนในทีมและฝังรากลึกลงไปจนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรในที่สุด
3. Change is Chance: การเปลี่ยนแปลง ปัญหา และงานยาก คือ โอกาส
การเปลี่ยนแปลง = โอกาส แนวคิดสำคัญที่ทำให้ทุกคนมี Growth Mindset แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในการทำงานเสมอ โดยเฉพาะในยุคนี้เมื่อโควิด-19 เข้ามากระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับการทำงานทางไกล การนำเทคโนโลยีอย่างโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันเข้ามาช่วยจัดการงานส่วนต่างๆ และเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ แม้ว่าทุกการเปลี่ยนแปลงนั้นจะไม่ใช่เรื่องง่ายอาจมีปัญหาหรืออุปสรรคมากมายเกิดขึ้น แต่หากมองว่าการเปลี่ยนแปลงคือความท้าทาย บางครั้งปลายทางหรือผลลัพธ์อาจไม่สำคัญเท่าบทเรียนที่ได้รับจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นก็ได้
4. Feedback is a Gift: การให้และได้รับ Feedback คือของขวัญ
ไม่ว่าเราจะเป็นผู้ให้หรือผู้รับ Feedback ให้คิดไว้เสมอว่า Feedback คือ ของขวัญที่ทุกคนควรได้รับ คำวิจารณ์ คำติชม และคำแนะนำเป็นวัตถุดิบชั้นดีที่จะกระตุ้นให้เราเกิดการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น Feedback ที่ดียังส่งเสริมให้คนมี Growth Mindset อีกด้วย หากเราเป็นผู้รับ Feedback เราต้องเปิดใจรับฟังคำวิจารณ์เหล่านั้นโดยแยกแยะกับอารมณ์ ซึ่งแน่นอนว่าคำวิจารณ์นั้นอาจมันไม่ถูกใจเราอยู่แล้ว แต่ให้เรามองว่ามันคือสิ่งที่เราต้องปรับปรุงแก้ไขให้ดีกว่าเดิมในขณะเดียวกันผู้ให้ Feedback ก็ควรให้คำวิจารณ์ที่ต่อยอดได้ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชม บอกให้ผู้รับ Feedback รู้ว่าอะไรที่ทำได้ดีอย่างจริงใจ ส่วนไหนที่พัฒนาได้อีก ให้คำแนะนำในการปรับปรุง ในส่วนหัวหน้างานต้องฟังไอเดียใหม่ๆ จากพนักงานในทีม เปิดใจรับฟัง อย่าพึ่งติ อย่าเพิ่งบอกว่าทำไม่ได้ แต่ให้ถามคำถามที่เกิดการพัฒนาต่อยอดได้เสมอ ต้องแสดงให้พวกเขารู้ว่าคุณกำลังสนับสนุนเขา การทำสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้พนักงานกล้าเสนอความคิดเห็น กล้าพัฒนา และรู้ว่าจะต้องปรับปรุงอะไรตรงไหนบ้างเพื่อทำให้องค์กรเติบโตมากยิ่งขึ้น
5. The process is more important than the result: กระบวนการสำคัญกว่าผลลัพธ์
หากต้องการตัวเองให้เก่งขึ้น อย่ากังวลว่าผลลัพธ์จะออกมายังไง จนกลายเป็นความกดดันตัวเอง เมื่อรู้สึกเครียดเกินไป จะส่งผลให้เราทำออกมาไม่ดี แต่หากเรารู้สึกผ่อนคลาย ทำสบายๆ ไม่กังวลกับผลลัพธ์จนเกินไป ไม่ว่าเราจะฝึกซ้อม หรือ ฝึกฝนอะไร จะพบว่า พัฒนาการของเราจะดีขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับ การเดินทางออกท่องเที่ยว เราควรมีความสุขกับวิวทิวทัศน์ระหว่างทาง มากกว่าการมุ่งแต่จะไปถึง จุดหมายปลายทางเพียงอย่างเดียว นี่แหละ กระบวนการสำคัญกว่าผลลัพธ์
จะเห็นได้ว่า Growth Mindset เปรียบเสมือน บันไดที่จะพาองค์กรและทีมไปสู่ความสำเร็จ ด้วยชุดความคิดที่พัฒนาได้จะส่งผลให้เราพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น เก่งขึ้น มีวิธีการทำงานที่ดีขึ้น ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง ไม่กลัวผลลัพธ์ และส่งเสริมให้เพื่อนร่วมทีมพัฒนาขึ้น Growth Mindset จึงเป็นสิ่งที่เราสามารถสร้างได้โดยเริ่มที่ตัวเองจากนั้นค่อยๆ ปลูกฝังไปยังคนรอบข้าง ไม่ว่าคุณจะเป็นหัวหน้าหรือเป็นลูกทีม การส่งเสริมให้ทีมมี Growth Mindset จะช่วยให้เกิดบรรยากาศที่ดีในการทำงานและผลักดันให้องค์กรประสบความสำเร็จตามไปด้วย
|
|
|
|